Tranexamic acid ตัวช่วยเรื่อง ฝ้า กระ ที่วงการสกินแคร์ให้ความสนใจ
Beautyface.th
Tranexamic Acid ช่วยเรื่องฝ้า กระ ได้อย่างไร
Tranexamic Acid เหมาะกับใครบ้าง
ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับ Tranexamic Acid
การใช้ Tranexamic Acid ในสกินแคร์
สิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้ Tranexamic Acid
Tranexamic Acid คืออะไร
Tranexamic Acid หรือ TXA เดิมเป็นสารที่ใช้ในทางการแพทย์เกี่ยวกับการยับยั้งการสลายตัวของลิ่มเลือด ต่อมาพบว่า TXA มีบทบาทในการ ยับยั้งกระบวนการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน จึงถูกนำมาพัฒนาเป็นส่วนผสมในสกินแคร์สำหรับดูแลฝ้า กระ และรอยดำ
Tranexamic Acid ช่วยเรื่องฝ้า กระ ได้อย่างไร
1. ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Antimelanogenesis)- ขัดขวางการทำงานของ Tyrosinase TXA มีโครงสร้างคล้ายกรดอะมิโนไทโรซีน จึงเข้าไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) แบบแย่งจับ ทำให้กระบวนการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินลดลง
- ยับยั้งการส่งผ่านเม็ดสี ช่วยขัดขวางไม่ให้เม็ดสีเมลานินที่สร้างขึ้นถูกส่งต่อไปยังเซลล์ผิวชั้นบน ทำให้รอยดำค่อยๆ จางลง
- ยับยั้งเอนไซม์พลาสมิน (Plasmin) เมื่อผิวถูกรังสี UV กระตุ้น สารพลาสมินในผิวจะเพิ่มขึ้นและไปกระตุ้นสารสื่ออักเสบ (Prostaglandins) ซึ่งเป็นตัวเร่งให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานหนักขึ้น TXA จะเข้าไปยับยั้งพลาสมิน ทำให้การสร้างเม็ดสีที่เกิดจากการกระตุ้นโดยแสงแดดลดน้อยลง
- รักษาฝ้าเลือด: ฝ้าบางชนิดเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดใต้ผิวหนัง (Vascular melasma) TXA ช่วยลดการขยายตัวและการสร้างหลอดเลือดใหม่ในบริเวณที่เป็นฝ้า ทำให้รอยแดงหรือฝ้าที่มีลักษณะสีแดงจางลงได้
รูปนี้ เป็นเพียงแค่ภาพตัวอย่างประกอบ
Tranexamic Acid เหมาะกับใครบ้าง
1. ผู้ที่ต้องการดูแลปัญหาผิว (เน้นรูปแบบทาหรือเซรั่ม)
- กลุ่มนี้สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ TXA เพื่อหวังผลเรื่องความกระจ่างใสได้เกือบทุกสภาพผิว:
- ผู้ที่มีปัญหาฝ้า (Melasma): ทั้งฝ้าแดดและฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมน รวมถึง "ฝ้าเลือด" ที่เห็นเป็นรอยแดงจากหลอดเลือดผิดปกติ
- ผู้ที่มีรอยดำหลังการอักเสบ (PIH): เช่น รอยดำหลังจากสิวหาย หรือรอยดำหลังจากการทำเลเซอร์
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำจากแสงแดด: ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
- ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin): TXA ในรูปแบบทามักมีความอ่อนโยนกว่าสารเร่งขาวบางชนิด (เช่น ไฮโดรควิโนน) และช่วยลดอาการแดงหรือการอักเสบของผิวได้
- ผู้ที่มีปัญหารอยแดงหรือโรคโรซาเชีย (Rosacea): เนื่องจากมีคุณสมบัติลดการอักเสบและลดการขยายตัวของหลอดเลือด
2. ผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ (เน้นรูปแบบรับประทานหรือฉีดตามแพทย์สั่ง)
- กลุ่มนี้ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด:
- ผู้หญิงที่มีประจำเดือนมามากกว่าปกติ (Heavy periods): เพื่อช่วยให้เลือดแข็งตัวและลดการสูญเสียเลือด
- ผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือถอนฟัน: โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายหรือเป็นโรคฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) เพื่อป้องกันการเสียเลือดมาก
- ผู้ที่มีภาวะเลือดกำเดาไหลบ่อย: ใช้เพื่อช่วยให้เลือดหยุดไหลเร็วขึ้น
ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับ Tranexamic Acid
- ผู้ที่มีประวัติลิ่มเลือดอุดตัน: เช่น โรคหลอดเลือดดำอุดตัน (DVT) หรือลิ่มเลือดอุดตันในปอด
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง: เช่น โรคไต, โรคหัวใจ, หรือมีภาวะชัก
- ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมน: เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้หากใช้ยา TXA แบบรับประทาน
- สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร: แม้รูปแบบทาจะค่อนข้างปลอดภัย แต่การใช้แบบรับประทานต้องปรึกษาแพทย์เท่านั้น
- ผู้ที่มีความผิดปกติในการมองเห็นสี: ไม่แนะนำให้ใช้ในรูปแบบยา
รูปนี้คือตัวอย่างของคนที่มีโรคประจำตัว
การใช้ Tranexamic Acid ในสกินแคร์
Tranexamic Acid มักถูกนำมาอยู่ในรูปแบบเซรั่มหรือเอสเซนส์ เพื่อให้ซึมสู่ผิวได้ดี หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้ TXA เป็นสารสำคัญคือ Mela TXA serum ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อการดูแลปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำในชีวิตประจำวัน โดยเน้นการใช้ต่อเนื่องร่วมกับการทากันแดดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้ผลลัพธ์ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นและลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำ
รูปนี้คือรูปตัวอย่างสินค้า Mela TXA seru
สิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้ Tranexamic Acid
ก่อนเริ่มใช้ Tranexamic Acid เพื่อรักษาฝ้า กระ หรือใช้เพื่อสุขภาพ ควรทำความเข้าใจข้อปฏิบัติและข้อควรระวัง
1. การเลือกรูปแบบให้เหมาะสม
- รูปแบบทา (สกินแคร์): มักใช้ที่ความเข้มข้น 2% ถึง 5% เพื่อความปลอดภัย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดจุดด่างดำโดยมีความเสี่ยงต่ำ
- รูปแบบรับประทาน (ยาสามัญ): มักใช้ในขนาด 500-1,500 มก. ต่อวัน เพื่อรักษาฝ้าหรืออาการเลือดออก ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เนื่องจากมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
2. ข้อควรระวังและกลุ่มที่ต้องเลี่ยง (โดยเฉพาะยารับประทาน)
- ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน: ห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติเป็นโรคลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (DVT), ลิ่มเลือดอุดตันในปอด หรือคนในครอบครัวมีประวัติเลือดแข็งตัวผิดปกติ
- การใช้ยาคุมกำเนิด: หากรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน หัวใจวาย หรือโรคหลอดเลือดสมองอย่างมาก
- ปัญหาสุขภาพอื่นๆ: ผู้ที่มีภาวะไตทำงานบกพร่อง, โรคหัวใจ, หรือมีปัญหาการมองเห็นสี ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
- สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร: ยังไม่มีข้อมูลยืนยันความปลอดภัยที่เพียงพอ จึงควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาแพทย์
3. วิธีใช้สกินแคร์ให้ได้ผลดีและปลอดภัย
เริ่มใช้ สำหรับผิวแพ้ง่าย ควรเริ่มทาเพียง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้ผิวปรับตัวก่อนเพิ่มเป็นวันละครั้งหรือเช้า-เย็น
- ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ร่วมกันได้ Vitamin C, Niacinamide หรือ Retinoids จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการกระจ่างใส
- ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ควรใช้ร่วมกัน ไม่ควรเลเยอร์ทับกับกรดผลไม้ (AHA/BHA) ในปริมาณมากเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและไวต่อแสงมากขึ้น
- ต้องทากันแดด: TXA ช่วยลดเม็ดสี แต่รังสี UV จะกระตุ้นการสร้างใหม่ การไม่ทากันแดดจะทำให้การรักษาไม่ได้ผล
4. สัญญาณเตือนที่ต้องหยุดใช้ทันที
- อาการออกทางสายตา หากการมองเห็นเปลี่ยนไป เห็นภาพเบลอ หรือมองเห็นสีผิดปกติ
- สัญญาณลิ่มเลือด เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน, หายใจไม่ออก, หรือมีอาการปวด บวม แดง ร้อนที่ขาหรือแขนเพียงข้างเดียว
- อาการแพ้รุนแรง ผื่นลมพิษ, หน้า/ปากบวม, หรือหายใจลำบาก
สรุป
Tranexamic Acid เป็นหนึ่งในสารดูแลผิวที่ตอบโจทย์ปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำได้อย่างตรงจุด ด้วยกลไกที่ช่วยลดการกระตุ้นเม็ดสีและการอักเสบของผิว จึงเหมาะกับการดูแลผิวในระยะยาว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี TXA เช่น Mela TXA serum ควบคู่กับการป้องกันแสงแดดอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ผิวดูสม่ำเสมอ แข็งแรง และลดการเกิดฝ้าซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
